วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

ประวัติเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย (ท้าวเวศสุวรรณ)


ประวัติเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย (ท้าวเวศสุวรรณ)

ไฉซิ้งเอี้ย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Fortune.JPG
Names
อักษรจีนตัวย่อ:财神,财神爷
อักษรจีนตัวเต็ม:財神,財神爺
พินอิน:Cái-shén,Cái-shén-yé
สำเนียงแต้จิ๋ว:ไช้ซิงเอี๊ย
สำเนียงฮกเกี้ยน:จ๋ายสิน,จ๋ายสินเอี๊ยะ
ภาษาญี่ปุ่น | :富の神
ภาษาเกาหลี | อักษรฮันกุล:생애
เกาหลี:saeng-ae
ภาษาเวียดนาม:Thần Tài
ชื่ออื่นๆ :
  • เจ้าก๊องเบี้ยง (趙公明)
  • ปิดก้วย (筆桿)
ไฉซิ้งเอี้ย หรือ จ่ายสินเอี้ย (จีน财神พินอิน: Cái-shén; อังกฤษCai Shen, God of wealth, God of fortune) เป็นเทพเจ้าของจีนที่ให้คุณทางด้านเงินทอง และโชคลาภ (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ) ซึ่งสำหรับชาวจีนแล้วถือเป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญมากที่สุดในการเริ่มเข้าสู่ปีนักษัตรใหม่ (ปีใหม่จีน) เนื่องจากเป็นเทพเจ้าที่ได้รับการกราบไหว้เป็นองค์แรกทีเดียว
การบูชาไฉซิ้งเอี้ย สามารถพบได้ในหลายประเทศในทวีปเอเชีย เช่น ทิเบต, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อินเดีย, ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, มาเก๊า, ฮ่องกง เป็นต้น
ไฉซิ้งเอี้ยที่มีความเก่าแก่ที่สุดพบที่บนหน้าผาในทิเบต เรียกว่าปางชัมภล[1]
เชื่อว่าไฉซิ้งเอี้ย จะเสด็จมายังโลกมนุษย์เพียงปีละครั้ง คือ ในวันตรุษจีน ดังนั้น ชาวจีนตั้งแต่โบราณเมื่อเข้าสู่วันตรุษจีน (นับตั้งแต่ 0.00 น.) จะทำการตั้งโต๊ะบูชาไฉซิ้งเอี้ย โดยการหันหน้าไปทิศต่าง ๆ ที่เชื่อว่าไฉซิ้งเอี้ยจะเสด็จลงมา ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี โดยเวลาที่จะทำการบูชา คือ 23.00-01.00 น. ของวันตรุษจีน ซึ่งของที่ทำการบูชาใช้ของหวาน เช่น ผลไม้, อาหารเจ, บัวลอย, สาคู หรือของรับประทานต่าง ๆ ที่มีสีสันสดใส แต่ไม่ใ้ช้ของคาวหรือเนื้อสัตว์ พร้อมกับนำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเงินทอง เช่น สมุดบัญชีธนาคาร, เช็ค หรือกระเป๋าเงิน มา่ตั้งวางไว้ด้วย เป็นต้น
...............................................................
ไฉ่ซิงเอี๊ย หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ มีคำเรียก หรือสำเนียงแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น “ไช้ซิ้งเอี๊ย” “ไฉ่เซ่งเอี๊ย” หรือ “ไฉเสิ่งเอี๊ย”
        ไฉ่ซิงเอี๊ย หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ มีคำเรียก หรือสำเนียงแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น “ไช้ซิ้งเอี๊ย” “ไฉ่เซ่งเอี๊ย” หรือ “ไฉเสิ่งเอี๊ย” เป็นต้น
        ชาวจีนเรียก เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ว่า “ไฉ่ซิงเอี๊ย” (ไฉเสินเย๋) ดังนั้นเมื่อถึงวันขึ้น 2 ค่ำ เดือนอ้าย (ตามปฏิทินจีน) และวันที่ 22 เดือน 7 (ตามปฏิทินจีน) ของทุกปี นักธุรกิจชาวจีนจะขมีขมันนำเครื่องเซ่นไหว้ มาบูชาเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย และสาเหตุที่ต้องไหว้ 2 ครั้ง ก็เพราะว่า เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย มี 2 องค์ คือ ไฉ่ซิงเอี๊ยบู๊ และ ไฉ่ซิงเอี๊ยบุ๋น
        ไฉ่ซิงเอี๊ยบู๊ หน้าจะดุ บางครั้งประทับบนหลังเสือ บางครั้งก้อทรงเหยียบหลังเสือ ที่หัตถ์ถือกระบอง ส่วนไฉ่ซิงเอี๊ยบุ๋น เป็นเทพเจ้าหน้าตาดี ทรงคุณธรรม เชื่อกันว่าองค์บู๊ให้คุณในเรื่องของหนี้สิน เจ้าหนี้คนไหนบูชามักจะตามหนี้ง่าย ลูกหนี้จะไม่กล้าโกงหรือหนีหนี้ ตามคำบอกเล่าเก่าแก่ฟังว่า ไฉ่ซิงเอี๊ย องค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่ศาลเจ้าพ่อเสือนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ใครดวงไม่ดีหรือกำลังมีปัญหาเรื่องเงินทอง ไปไหว้ท่านที่ศาลเจ้า และขอพรท่าน ท่านจะช่วยเสมอ คนจึงนิยมไปกราบไหว้กันมาก แต่มี เคล็ด อยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ อย่าลืมเอาหมูไปเซ่นไหว้เสือด้วย แล้วทุกอย่างจะราบรื่น
        ไฉ่ซิงเอี๊ย ทั้ง 2 องค์นี้เป็นใคร ? เกี่ยวกับเรื่องนี้มีตำนานเล่าขาลมามากมายหลายกระแส แต่ส่วนใหญ่จะเล่ากันว่า ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋นคือ ปี่กาน และองค์บู๊คือ จ้าวกงหมิง ซึ่งมีตำนานเล่ามาดังนี้
        นานมาแล้ว เจียงไท้กง เทพชั้นผู้ใหญ่ผู้มีหน้าที่แต่งตั้งเทพเจ้า วันหนึ่งท่านกำลังนั่งบำเพ็ญตบะอยู่ จู่ๆ หัวใจก็สั่นหวิว ท่านจึงทราบด้วยจิตญาณว่า เทพปี่กาน กำลังจะมีเรื่องเดือดร้อนหนัก จึงพยายามหาทางช่วย
ปี่กาน นั้น เป็นอัครหมาเสนาบดีของจักรพรรดิอินโจ้ว ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อิน ทรงลุ่มหลงสุรานารีไม่ใส่ใจราชกิจ ทรงมีสนมเอกนางหนึ่งนาม โซวถังกี้ (ซูต๋าจี่) ที่เป็นหณิงงามที่ลือชื่อในประวัติศาสตร์ ปี่กาน เป็นขุนนางผู้ซื่อตรง พยายามจะเตือนองค์จักรพรรดิให้หันมาสนใจราชกิจ แต่พระองค์ไม่สนพระทัยต่อคำเตือน ปี่กานจึงวางแผนให้ทหารไปจับสุนัขจิ้งจอกมาทำเสื้อคลุมถวายแด่องค์จักรพรรดิ เพราะเชื่อว่า ถังกี้ (ต๋าจี่) เป็นปีศาจจิ้งจอก เมื่อพบเห็นเสื้อคลุมก็จะตกใจและหนีไป แต่เหตุการณ์กับตรงกันข้าม เพราะถังกี้ไม่ตกใจ และยังวางแผนเล่นงานปี่กานกลับอีกด้วย
        เย็นวันหนึ่ง ปี่กานได้ยินเสียงคนร้องขายของอยู่หน้าบ้าน ว่า “ขายหัวใจๆ” ก็แปลกใจ จึงออกไปดู พบเห็นคนแก่ยืนอยู่หน้าบ้านของตน จึงถามว่า “ท่านผู้อาวุโส จะขายหัวใจจริงหรือนี่” ชายชราก็ตอบว่า “ขายจริงๆ นายท่านสนใจซื้อหาหรือไม่”
        ปี่กาน จึงแย้งไปว่า “หัวใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของร่างกาย ถ้านำมันออกมาแล้ว ทุกคนต้องตาย ท่านยังคิดที่จะขายหัวใจอยู่อีกหรือหาไม่” ชายชรากล่าวว่า “หัวใจเป็นต้นเหตุของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หากหัวใจไม่เที่ยงธรรม มือเท้าย่อมทำแต่สิ่งไม่ดี ถ้าเอาหัวใจออกมาขายเสีย ต่อไปข้าพเจ้าก็จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มีแต่ความยุติธรรม จัดการปัญหาต่างๆ อย่ายุติธรรม เป็นเช่นนี้มิใช่ประเสริฐกว่าหรือ”
ปี่กาน ยืนยันว่า “แต่หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญมาก มีเพียงหนึ่งเดียว เมื่อขายแล้วท่านจะมีชีวิตสืบต่อไปได้อย่างไร”
        “ได้แน่นอน เนื่องจากข้าพเจ้ามียาวิเศษอยู่เม็ดหนึ่ง เมื่อกินเข้าไปแล้วถึงแม้ไม่มีหัวใจ แต่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกายจะยังสามารถทำงานสืบไปได้เช่นเดิม”
        “งั้นขอให้ข้าพเจ้าได้ชมยาวิเศษสักนิดได้หรือไม่”
        ชายแก่จึงส่งมอบยาวิเศษเม็ดนั้นให้แก่ปี่กาน เมื่อเขานำมาดมดูก็รู้สึกหอมอย่างประหลาด รู้สึกมีพลังวิ่งไปทั่วร่างกาย แต่พอเงยหน้าขึ้นมากลับไม่พอชายชราผู้นั้นเสียแล้ว (ความจริงแล้ว ชายชราผู้นั้นคือเจียงไท้กงแปลงกายลงมานั้นเอง)
        เช้าวันรุ่งขึ้น องครักษ์หลายนายได้มาเชิญตัวปี่กานไปเข้าเฝ้าแต่เช้า ปี่กานรู้สึกแปลกใจ เพราะจักรพรรดิอินโจ้วไม่เคยสนพระทัยว่าราชการ แต่กลับส่งคนมาเชิญตนแต่เช้า จึงไถ่ถามเหล่าองครักษ์ จึงทราบว่า พระสนมถังกี้ เป็นโรคประหลาด หมอหลวงอับจนปัญญาที่จะรักษาได้ มีแต่หัวใจของปี่กานเท่านั้นที่จะสามารถใช้รักษาโรคนี้ได้
        จักรพรรดิอินโจ้วกำลังหลงพระสนมถังกี้มาก ทรงตรัสว่า “เจ้าเป็นพระสนมเอกแห่งเรา ส่วนปี่กาน เป็นแค่ขุนนางอันต่ำต้อย ชีวิตใครจักมีค่ามากกว่ากัน เรารู้ดี ดังนั้นขอเพียงรักษาอาการป่วยของเจ้าได้เท่านั้น อย่าว่าแต่ชีวิตของขุนนางผู้เดียวเลย ต่อให้ต้องฆ่าขุนนางสัก 100 คน เราก็เต็มใจ”
        ดังนั้นพระองค์จึงมีรับสั่งให้เบิกตัวปี่กานมาเข้าเฝ้าแต่เช้า หลังจากปี่กานทราบเรื่องก็ตกใจเป็นอันมาก เรียกหาคนในครอบครัวมาสั่งเสีย ทันใดนั้นเขานึกถึงยาวิเศษที่ได้รับมาจากชายชรา จึงรีบไปหยิบยาวิเศษเม็ดนั้นออกมากลืนกินลง แล้วตามเหล่าองครักษ์เพื่อเข้าเฝ้า พอมาถึงท้องพระโรง จักรพรรดิอินโจ้วก็ตรัสขอหัวใจของปี่กานเพื่อนำไปใช้รักษาอาการป่วยของพระสนมถังกี้
        ปี่กานจึงทูลว่า “พระองค์รับสั่งให้ขุนนางตาย ขันนางผู้นั้นก็มิอาจมีชีวิตสืบไป แต่ก่อนที่กระหม่อมขอกราบทูลเตือนพระองค์เป็นครั้งสุดท้ายว่า พระองค์กำลังลุ่มหลงนางปีศาจ แลกำลังตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน หลังจากที่พระองค์ทรงประหารกระหม่อมแล้ว ราชวงศ์ของพระองค์ที่ดำลงคงอยู่มาถึง 28 รัชกาล ก็จะถึงกาลอวสานแล้ว”
        อนิจจา องค์จักรพรรดิหาได้ใส่พระทัยต่อคำเตือนของปี่กานไม่ กลับรับสั่งให้ทหารควักหัวใจของปี่กานออกมา
        แต่ปี่กาน ห้ามเหล่าทหารเอาไว้ และกล่าวว่า “พวกเจ้านั้นหาจำเป็นไม่ ขอเพียงมีมีดสั้นให้กับข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะกระทำการสืบไปเอง”
        กล่าวจบ ปี่กานก็ใช้มีดแหวะอก และควักหัวใจออกมา โยนหัวใจนั้นทิ้งไว้กับพื้น แล้วเดินออกจากพระราชวังโดยไม่พูดอะไร แต่ที่มหัศจรรย์คือตลอดการกระทำของปี่กานนี้ หามีเลือดออกมาไม่ ตั้งแต่นั้นมา ปี่กานก็ออกท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เขาโปรยเงินทองแจกจ่ายแก่ผู้คนไปทั่ว กลายเป็น เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ตามตำนานกล่าวกันว่า ปี่กานกินยาวิเศษของเจียงไท้กงเข้าไป ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ แม่ว่าจะไม่มีหัวใจ และกล่าวกันว่า เพราะปี่กานไม่มีหัวใจนี่เอง เขาจึงโปรยเงินโปรยทองแก่ผู้คนทั่วไป โดยไม่เลือกว่าคนนั้นดีหรือคนนี้ไม่ดี เลือกที่รักมักที่ชัง เป็นที่มีของเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น นั้นเอง

เราอาจเคยเห็นได้ยินความเชื่อเรื่อง "ท้าวเวสสุวรรณ" ว่ามีอิทธิฤทธิ์ในการขับไล่ภูตผีปีศาจทั้งหลาย หรืออาจเคยเห็นคุณย่าคุณยายนำรูป "ท้าวเวสสุวรรณ" มาแขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน แถมบ้างก็ว่า ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพแห่งความร่ำรวย จนอดสงสัยไม่ได้ว่า จริง ๆ แล้ว "ท้าวเวสสุวรรณ" คือใคร วันนี้กระปุกจะพาเพื่อน ๆ ไปหาคำตอบกัน

         ท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัน) หรือในภาษาพราหมณ์เรียกว่า "ท้าวกุเวร" ถ้าในพระพุทธศาสนาจะเรียก "ท้าวไพสพ" เป็นอธิบดีแห่งอสูร หรือเจ้าแห่งภูตผีปีศาจทั้งหลาย โดย ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ประทับทางทิศเหนือมีอสูร รากษส และภูตผีปีศาจเป็นบริวาร
         ว่ากันว่าอาณาเขตที่ ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองนั้นใหญ่มหาศาลมาก และ ท้าวเวสสุวรรณ ยังเป็นหัวหน้าของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 อันประกอบไปด้วย "พระอินทร์" (ท้าวธตรฐ) ปกครองโลกด้านทิศตะวันออก , "พระยม" (ท้าววิรุฬหก) ปกครองโลกด้านทิศใต้ และ "พระวรุณ" (ท้าววิรูปักษ์) ปกครองโลกด้านทิศตะวันตก

         และเพราะ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเจ้าแห่งอสูร คนโบราณจึงมักทำรูป ท้าวเวสสุวรรณ แขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน เพราะเชื่อว่าจะช่วยป้องกันภูตผีปีศาจไม่ให้มารบกวนเด็กเล็กได้และนิยมทำผ้ายันต์รูป ท้าวเวสสุวรรณ รวมทั้งจำหลักรูป ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ที่มีดหมอของสัปเหร่อ เพื่อกำราบวิญญาณ  และยังมีผู้พกพารูป ท้าวเวสสุวรรณ หรือทำเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัยจากวิญญาณอีกด้วย
         ทั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วเรามักเห็นภาพ ท้าวเวสสุวรรณ ในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือไม้เท้าขนาดใหญ่อยู่ระหว่างขา เหมือนมีขาสามขา เนื่องจากท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการ จึงเป็นเหตุให้พระพรหมตั้งชื่อให้ว่า "ท้าวกุเวร" แต่ในวรรณคดีหลายฉบับ

         รวมทั้งตำราโบราณ ได้กล่าวตรงกันว่า อันที่จริงแล้ว ท้าวเวสสุวรรณ เป็นยักษ์ที่มีผิวกายและพัสตราภรณ์สีเหลืองทอง จิตใจดีงาม และอุทิศตนถวายพิทักษ์รักษาพุทธสถาน และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น หากใครที่เดินทางไปยังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ที่จังหวัดพิษณุโลก ก็อาจจะได้พบรูปหล่อปิดทองด้านซ้ายของฐานองค์พระพุทธชินราช ทำเป็นรูป ท้าวเวสสุวรรณ เพื่อปกปักคุ้มครองพระพุทธศาสนา ไม่ให้หมู่มารมารังควาน รวมทั้งปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน

         ดังนั้น เราอาจจะเคยเห็นว่า วัดวาอารามต่าง ๆ หรือด้านหน้าถ้ำ จะมีรูปปั้้นยักษ์ 1 หรือ 2 ตน ยืนถือกระบองค้ำพื้นเฝ้าหน้าประตูโบสถ์ หรือวิหารที่เก็บของมีค่า โบราณวัตถุของทางวัดอยู่ ซึ่งหากยักษ์ที่ยืนปกปักรักษาอยู่มีตนเดียว นั่นก็คือ ท้าวเวสสุวรรณ นั่นเอง แต่ถ้าหากมี 2 ตน ก็คือบริวารของ ท้าวเวสสุวรรณ ที่จะมาคอยปกปักรักษาบริเวณวัด

         และนอกจาก ท้าวเวสสุวรรณ จะมีหน้าที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนาแล้ว ท้าวเวสสุวรรณ ยังมีหน้าที่จดความดีของคนทางทิศเหนือไปจารึก และประกาศให้เทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้รับรู้อีกด้วย

       ตำนานความเชื่อของ ท้าวเวสสุวรรณ

         ตามตำนานทางพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า ในอดีตชาติ ท้าวเวสสุวรรณ เคยเป็นพราหมณ์ เปิดโรงงานค้าขายหีบอ้อยจนร่ำรวย ด้วยความใจบุญจึงได้นำเงินทองไปบริจาคให้ผู้ยากไร้ และด้วยกุศลผลบุญที่ ท้าวเวสสุวรรณ บำเพ็ญมานับหลายพันปี พระพรหม และ พระอิศวร จึงให้พรแก่ ท้าวเวสสุวรรณ ให้เป็นอมตะ และเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั่วปฐพี เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ดังนั้นผู้คนจึงนิยมจำหลักรูป ท้าวเวสสุวรรณ ไว้เคารพบูชาเพื่อความมั่งคั่งอีกหนึ่งประการ ตรงตามความหมายของชื่อ "ท้าวเวสสุวรรณ" คือ คำว่า "เวส" แปลว่า พ่อค้า  จึงหมายถึงพ่อค้าอันมีทรัพย์ ได้แก่ ทองคำ
         นอกจากนี้อีกหนึ่งตำนานในพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า ในชาติหนึ่ง ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งเดิมชื่อ กุเวรพราหมณ์ ได้ทำบุญกุศลมาก จนชาติต่อมา ได้เป็นกษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์ พระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร และทรงเป็นพระสหายกับเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จนบรรลุเป็นโสดาบัน และได้ถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร ให้พระพุทธเจ้าได้เข้าประทับ จึงเป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานอันสวยงาม และการที่พระเจ้าพิมพิสารถวายทานบ่อย ๆ จึงเป็นปัจจัยให้มีทิพยสมบัติมากมาย เมื่อได้เป็นเทวดาก็ทรงมีอำนาจมาก

         ขณะที่ตามตำนานของพรามหณ์ เชื่อกันว่า ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร หรือ กุเปรัน เป็นพี่ชายต่างมารดาของทศกัณฐ์ แต่ไปนับถือท้าวมหาพรหมผู้เป็นเทวดา เพราะปรารถนาจะบำเพ็ญบารมี ทำให้ผิดใจกับพ่อซึ่งอยู่ในตระกูลยักษ์ โดยท้าวมหาพรหมทรงโปรดปรานท้าวกุเวร จึงประทานบุษบกให้ เพื่อให้ล่องลอยไปไหนมาได้ตามใจปรารถนา ก่อนที่ทศกัณฐ์จะไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวรที่พระมหาพรหมประทานให้ไป และยึดกรุงลงกาที่ท้าวกุเวรปกครองอยู่มาได้สำเร็จ ท้าวมหาพรหมจึงสร้างนคร "อลกา" ให้ท้าวกุเวรใหม่



       คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ

         ในคัมภีร์โบราณ กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร ตามคาถาบูชาต่อไปนี้
             คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร (บูชาประจำวัน)


ตั้ง นะโม 3 จบ

อิติปิโสภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ

มรณังสุขัง อะหังสุคะโต นะโมพุทธายะ

ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชิกา ยักขะพันตา ภัทภูริโต

เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโมพุทธายะ
 

การบำเพ็ญวิถีธรรม ในธรรมกาลยุคขาว (โดยสังเขป)


             บันทึกต่อไปนี้ เป็นบันทึกที่ผู้น้อย เรียบเรียงขึ้นมา จากความเมตตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และนักธรรมอาวุโสทั้งหลายส่งเสริมชี้แนะ       จากการสังเกตดูมุมมองหรือทัศนคติของคนทั่วไปที่มีต่อวิถีอนุตตรธรรมนั้น อาจจะมีบางอย่างที่ยังกังขาอยู่ว่าวิถีธรรมนี้คืออะไร ทำไมต้องมีคนมาชวนเราไปกราบขอรับวิถีธรรม ผู้น้อยจึงขอร่วมศึกษากับทุกท่าน หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดผิดพลาดขอฟ้าเบื้องบนโปรดเมตตาประทานอภัย นักธรรมอาวุโสทั้งหลายส่งเสริมชี้แนะ
..........................................................................................................................
 >>> การบำเพ็ญในหมื่นพันวิถีทาง ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ การยกระดับจิตสู่ความบริสุทธิ์ สงบสุข ดีงาม อันเป็นสภาวะเดิมแท้แห่งจิตญาณของทุกท่าน เพื่อความหลุดพ้นจากห้วงทะเลอารมณ์ อันเป็นห้วงทุกข์แห่งสังสารวัฏ

>>> ซึ่งในการปกโปรดสามโลกของวิถีธรรมในครั้งนี้ เป็นงานใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะกาลเวลาของโลกได้ดำเนินมาสู่ยุคท้ายปลายกัปป์ซึ่งเป็นยุคที่จิตใจผู้คน ตกต่ำ มากไปด้วยกิเลสตัณหาราคะ คุณธรรมเสื่อมทราม ทำให้สังคมโลกโดยรวมเข้าสู่กลียุค ทำให้ความเป็นเอกภาพ สันติภาพ และภราดรภาพอันมีมาแต่เดิมสูญหายไป ทำให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ มากมายขึ้นในโลกดังที่เห็นในปัจจุบันนี้  ดังนั้นวิถีธรรมจึงถึงกำหนดกาลที่จะต้องถ่ายทอดลงสู่ครัวเรือน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงจิตเดิมแท้แห่งตน เพื่อนำมาซึ่งเอกภาพและสันติสุขแห่งโลกโดนรวมได้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง

>>>>> ซึ่งก่อนหน้านี้วิถีธรรมได้ปกโปรดลงสู่ชนชั้นปกครองเมื่อประมาณ 5,000 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนจีนโบราณอันเฟื่องฟูด้วยศิลปะและอารยธรรมอันดีงาม ซึ่งยุคสมัยนี้เรียกว่า ธรรมกาลยุคเขียว (ใบบัว ซึ่งเป็นลักษณะการกราบไหว้ในสมัยนั้น) อันเป็นยุคที่พระทีปังกรพุทธเจ้า ปกครองธรรมจักรวาล โดยในยุคนั้นผู้คนจิตใจดีงาม บ้านเมืองล้วนสงบสุขร่มเย็น

>>>>> หลังจากนั้น เมื่อชนชั้นปกครองเริ่มมีคุณธรรมตกต่ำลงเริ่มหลงไหลในอำนาจราชศักดิ์มากขึ้น ทำให้วิถีธรรมถึงกาลเวลาถ่ายทอดลงสู่นักบวช นักพรต นักปราชญ์ผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย อันเป็นยุคที่พระศากยมุณีพุทธเจ้า ปกครองธรรมจักรวาล โดยยุคนี้เรียกว่าธรรมกาลยุคแดง (ดอกบัว อันเป็นลักษณะการกราบไหว้ในสมัยนั้นที่เรียกว่าการพนมมือ)

>>>>> และในปัจจุบันนี้กาลเวลาได้เข้าสู่ธรรมกาลยุคขาว (รากบัว อันเป็นการแสดงความเคารพในยุคนี้ที่ใช้มือสองข้างมาประกบกันเป็นรากบัว) ซึ่งเป็นยุคที่วิถีธรรมปกโปรดลงสู่ครัวเรือน เป็นยุคที่พระศรีอาริยเมตไตยพุทธเจ้า ปกครองธรรมจักรวาล โดยพระองค์เองนั้นมีมหาปณิธานที่ยิ่งใหญ่ที่จะแปรเปลี่ยนโลกใบนี้ให้เป็นดิน แดนแห่งดอกบัวบาน โดยพระวิสุทธิอาจารย์ที่ทำหน้าที่แบกรับพระโองการฟ้าในถ่ายทอดวิถีธรรม ในธรรมกาลยุคขาว ณ ขณะนี้มีสองพระองค์ด้วยกันคือ พระพุทธจี้กง และพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา ที่ทำหน้าที่เป็นดั่งพระอาจารย์ชาย และพระอาจารย์หญิง ทำให้สาธุชนทั้งชายหญิงได้มีโอกาสปฏิบัติบำเพ็ญโดยถ้วนทั่วเสมอกัน

>> สำหรับวิถีอนุตตรธรรมนี้ยังถือว่าเป็นของใหม่อยู่สำหรับประเทศไทย เพราะเพิ่งมีการนำวิถีธรรมมาเผยแผ่ผ่านมาได้ประมาณ 30 ปีเท่านั้น ทำให้บางครั้งอาจเกิดปัญหาความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นลัทธิอุบาทว์ ศาสนามารมาหลอกลวงให้งมงาย จึงมีบางคนถึงกับกล่าวร้ายทำลายวิถีธรรมอันเนื่องมาจากความหวาดระแวง บวกกับความยึดมั่นอยู่ในรูปลักษณ์ ความเคยชินอยู่ในรูปแบบวิธีการเดิม ๆ ที่เคยปฏิบัติตาม ๆ กันมา

>>ฉะนั้นเพื่อทำความเข้าใจถึงความ แตกต่างในวิธีการปฏิบัติธรรมกิจ และแนวทางในการบำเพ็ญในปัจจุบันกับอดีตที่ผ่านมาจึงจะขอยกตัวอย่างเพื่อ เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพดังต่อไปนี้ :

>>>>>>>> การปฏิบัติบำเพ็ญ เมื่อครั้งธรรมกาลยุคแดงซึ่งวิถีธรรมลงสู่นักบวช นักพรต และนักปราชญ์ ในศาสนาต่าง ๆ ทั้ง 5 ศาสนา อันได้แก่ 
                ๑) พระพุทธศาสนา แห่ง พระศากยมุณีพุทธเจ้า
                ๒) ศาสนาเต๋าของท่านเหลาจื้อ
                ๓) ศาสนาปราชญ์ของท่านขงจื้อ
                ๔) ศาสนาคริสต์ของพระเยซู
                ๕) ศาสนาอิสลามของท่านนบีโมฮัมหมัด  (ซึ่งทั้ง 5 ศาสนานี้สิ่งที่เบื้องบนมีพระโองการฟ้าให้ทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมะกล่อมเกลายก ระดับจิตใจเวไนยสัตว์ตามจริตของผู้คนในแต่ละภูมิภาคในทวีปต่าง ๆ ทั่วโลก)
ซึ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนอาศัยวิธีการปฏิบัติในรูปแบบต่าง ๆ ที่พระศาสดาได้วางระเบียบแบบแผนเอาไว้ ซึ่งเมื่อพระศาสดาพระองค์เหล่านั้นได้บรรลุธรรมกลับคืนไป ทำให้ในศาสนาต่าง ๆ เหลือเพียงพระธรรมคำสอนไว้เป็นหลักปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

>>>>>>>> ซึ่งพระธรรมคำสอนเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องบำบัด กล่อมเกลาจิตใจมนุษย์ให้กลับคืนสู่ความดีงาม โดยการย้อนมองส่องตน เพื่อให้จิตใจที่ฟุ้งซ่านแตกกระจายออกไปตามแรงแห่งกิเลสตัณหา ราคะ โทสะ โมหะ และอารมณ์ ต่าง ๆ ที่ทำให้จิตเดิมแท้เกิดความขุ่นมัว เต็มไปด้วยหนี้สินบาปเวรกรรมเกาะเกี่ยวไว้ อันทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดนับไม่ถ้วนชาติ ได้กลับคืนสู่สภาวะแห่งความตื่นแจ้ง ดีงาม อีกครั้ง ซึ่งการบำเพ็ญที่เราพบเห็นในศาสนาต่าง ๆ นั้นเปรียบเสมือนการเดินเข้าไปในผืนป่าอันกว้างใหญ่ เพื่อตามหากุญแจมาไขประตูในการเดินกลับเข้าบ้าน (แดนนิพพาน)

>>>>>>>> แต่ในปัจจุบันที่วิถีธรรมลงสู่ครัวเรือนในบัดนี้เป็นโอกาสอันดีที่มีพระวิ สุทธิอาจารย์ทั้งสองพระองค์ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดหนทางตรงในการบำเพ็ญจิตนี้ อย่างง่ายดาย โดยให้รับรู้หนทางหลุดพ้นจากการรู้จักที่ตั้งแห่งจิตญาณในตนเองก่อน จากนั้นค่อยปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อการขัดเกลายกระดับจิตใจต่อไปพร้อมไปกับการ สร้างบุญสร้างกุศลคุณความดีต่าง ๆ สะสมเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนการที่พระองค์ท่านได้นำกุญแจมาไขประตูบ้านให้ กับเราในทันทีทันใด โดยที่เรานั้นไม่ต้องเสียเวลาเดินเข้าไปหากุญแจในผืนป่าอันกว้างใหญ่

>>>>>>>> แต่เนื่องด้วยบ้านของเรานั้น (พุทธจิตธรรมญาณในตน) ถูกปิดตายมานาน เราจึงต้องเข้าไปปัดกวาดทำความสะอาดเพื่อให้บ้านที่ขุ่นมัวกลับมาสะอาดใส เกลี้ยงเกลาอีกครั้ง แต่เนื่องด้วยบ้านเรายังปราศจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้ดำรงชีวิต เราจึงต้องไปสรรค์สร้างสิ่งที่จำเป็นต่าง ๆ ที่ต้องใช้ภายในบ้าน เปรียบเสมือนการปฏิบัติบำเพ็ญตนทั้งภายนอกภายในเพื่อ สรรค์สร้างคุณธรรมบารมีและมรรคผลกุศลบุญต่าง ๆ เพื่อเป็นปัจจัยในการหลุดพ้นสู่นิพพาน (อุปกรณ์ที่ใช้ดำรงชีวิตในบ้าน) อีกทั้งบรรพชน 7 ชั้นและลูกหลานอีก 9 ชั่วคนก็สามารถได้รับอานิสงค์จากการบรรลุธรรมของเราได้เช่นกัน (จึงเรียกว่าการปรกโปรดสามโลกนั่นเอง)
ฉะนั้นแล้วขอทุกท่านที่ยัง กังขาลังเลสงสัยอยู่นั้นขอจงโปรดเปิดใจให้กว้างแล้วมาศึกษามาสัมผัสดูถึง คุณวิเศษแห่งวิถีอนุตตรธรรม เพราะธรรมะแม้จะสูงส่งเพียงใด หากท่านไปสัมผัสด้วยตนเอง ผู้น้อยก็ไม่มีความสามารถจะทำให้ท่านกระจ่างขึ้นมาได้
ขอกราบสวัสดี เจริญธรรม เจริญสุข ทุก ๆ ท่านนะครับ
โดย: ธรรมวิถี แห่งพระอริยเจ้าทั่วสากลโลก